Skip to content
✅ เหตุผลหลัก:
1เพื่อรู้สภาพดินจริง ๆ หน้างาน
- ดินแข็ง ดินอ่อน ดินปนทราย ดินเหนียว ดินถม ดินดำ ฯลฯ ทุกแบบรับน้ำหนักไม่เท่ากัน
- ดินบางชนิดอาจทรุดตัวง่าย หรือมีน้ำใต้ดินสูง
2เพื่อเลือกประเภทฐานรากที่เหมาะสม
- ถ้าดินแน่น รับน้ำหนักดี → ใช้ฐานรากตื้นได้ (แบบแพหรือแบบแผ่)
- ถ้าดินอ่อน ทรุดตัวง่าย → ต้องใช้ฐานรากลึก (เช่น เสาเข็มเจาะ เสาเข็มตอก)
3เพื่อคำนวณโครงสร้างอาคารอย่างปลอดภัย
- Soil Test จะบอกว่า ดินรับน้ำหนักได้กี่ตัน/ตร.ม. → ใช้คำนวณขนาดฐานราก เสาเข็ม และโครงสร้างอาคารโดยรวมได้ตรง
4ช่วยประเมินค่าก่อสร้างได้แม่นยำ
- ถ้าไม่รู้ชนิดดิน → ประมาณราคาฐานรากมั่ว ๆ เดี๋ยวของบพังตอนขุดจริงจบเลย 😅
5ลดความเสี่ยงอาคารทรุด พัง แตก ร้าว
- บ้านหลายหลังที่มีปัญหาเพราะดินไม่ดีแต่เจ้าของไม่รู้ แล้วออกแบบไม่เหมาะกับสภาพดิน
📌 ข้อมูลที่ได้จาก Soil Test มีอะไรบ้าง?
- ความลึกของชั้นดินแต่ละชั้น
- ค่าการรับน้ำหนักของดิน (Bearing Capacity)
- ระดับน้ำใต้ดิน
- การทรุดตัวของดินแต่ละชั้น
- สภาพความแน่นของดิน (SPT Value)
- ปริมาณอินทรีย์วัตถุ หรือดินที่ย่อยสลายได้ (ที่ไม่ควรใช้รองรับน้ำหนัก)
📎 สรุปแบบพูดตรง ๆ:
- “บ้านสวยไม่พอ ฐานรากต้องแข็งแรงด้วย”
- ถ้าไม่ตรวจดินก่อน = เดินเข้าป่าโดยไม่ดูแผนที่
ใครไม่ทำ Soil Test ก็เหมือนจะไปปีนเขาแต่ไม่รู้ว่าภูเขานั้นสูงแค่ไหน ปลายทางอาจไม่ได้อยู่แค่ยอดเขา…แต่อยู่ในบ่อโคลน 😬
Scroll to Top